วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประวัติสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (ต่อ)

เมื่อการรถไฟบริติชเริ่มทำลายรถจักรไอน้ำล้าสมัยแบบเก่า เพื่อจะหันไปใช้รถจักรดีเซลแทนให้หมด ในสมัยทศวรรษที่ 50 นั้น พวกเขาได้เอาป้ายชื่อโลหะของสโมสรฟุตบอลลีกที่ค้นพบในตู้ชั้นฟุตบอลที่โด่งดังออกไปขัดให้สวยงาม แล้วส่งมอบคืนให้กับสโมสรเจ้าของชื่อบนป้ายเหล่านั้น นั่นเป็นการกระทำที่ช่างคิดและสร้างสรรค์ เหมือนกับเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่แม่มอบให้กับลูก เพราะว่าหากปราศจากรถไฟแล้ว ก็อาจจะไม่มีฟุตบอลลีกขึ้นมาในการแข่งขันระดับภายในประเทศ และคงจะมีไม่กี่สโมสรเท่านั้นที่เป็นที่รู้จักกันดีในทุกวันนี้ 


รถไฟให้กำเนิดฟุตบอล เพราะการรถไฟต้องจ้างคนงานชายเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ชายเหล่านั้นได้มาอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมนอกเวลางานด้วยกัน รถไฟทำให้ผู้คนไปไหนมาไหนก็ได้สะดวกขึ้น และแฟนบอลก็สามารถเดินทางตามไปเชียร์ทีมของตนแข่งในต่างเมืองได้ด้วยไม่ว่าจะระยะทางไกลแค่ไหน 



สโมสรฟุตบอลถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนภาคกลางของอังกฤษเมื่อราวๆ ทศวรรษที่ 60 โดยมีชาวเมืองน็อตติ้งแฮม, เชฟฟิลด์ และสโต๊ค เป็นผู้นำ ทั้งสามเมืองต่างก็เป็นศูนย์กลางเส้นทางรถไฟ 



ความศรัทธาอย่างแรงกล้าในเกมฟุตบอลเริ่มแพร่ไปสู่แมนเชสเตอร์ เมืองที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะเป็นศูนย์กลางการทอฝ้าย และเป็นแหล่งกำจัดคนนอกรีต ในย่านสถานีรถไฟทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากใจกลางเมืองแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟสายแลงคาเชียร์และยอร์คเชียร์นั้น ก็ได้มีสโมสรฟุตบอลตั้งขึ้นมาสโมสรหนึ่งชื่อสโมสรฟุตบอลการรถไฟแอลและ วาย (The L and Y Railway Football Club) แต่ไม่มีใครทราบวันเดือนปีที่แน่นอนในการก่อตั้งสโมสรขึ้นมา เพราะว่าสโมสรไม่ได้มีชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์จนกระทั้งปี 1878 เมื่อสโมสรเริ่มตั้งหลักปักรากได้แล้วจึงได้มีการเติมชื่อนิวตันฮีท ซึ่งเป็นชื่อสถานีรถไฟสำคัญของการรถไฟในแมนเชสเตอร์ เข้าไปเป็นชื่อสโมสรฟุตบอลแอล และวาย นั้นด้วย 



ในชื่อนิวตันฮีท สโมสรได้พยายามที่จะเข้าร่วมฟุตบอลลีก (ที่เพิ่งจะเริ่มการแข่งขันเมื่อปี 1888-89) ในตอนปลายฤดูกาลแรกของฟุตบอลลีก แต่ได้รับคะแนนเสียงเพียงเสียงเดียว... สองปีต่อมาเมื่อพวกเขาพยายามใหม่อีกครั้ง แต่ไม่มีสโมสรใดในฟุตบอลลีกออกเสียงให้เลยแม้แต่คะแนนเดียว แต่โอกาสก็มาถึงในปี 1892 เมื่อฟุตบอลลีกเพิ่มดิวิชั่น 1 และเพิ่มจำนวนทีมมากขึ้นอีก 3 ทีม นิวตันฮีทได้เข้าสู่ฟุตบอลลีกในดิวิชั่น 1 เลยทันทีพร้อมกับสโมสรหน้าใหม่ในดิวิชั่น 1 อีกสองทีมคือ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งตอนนั้นอยู่ในชื่อสโมสรอาร์ดวิค ก็ได้เข้าร่วมฟุตบอลลีกด้วยเหมือนกัน ในดิวิชั่น 2 ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในปีนั้นเอง 



นิวตันฮีท ได้รับชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกันในระดับท้องถิ่น แม้ว่าจะเริ่มต้นได้แย่มากในฟุตบอลลีก มีคนดังหลายคนเคยเป็นรองประธานสโมสรในช่วงนั้น เช่นอาร์เธอร์ เจมส์ บัลฟอร์ (ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระหว่างปี 1902-1906) และซี.พี. สก็อตต์ บรรณาธิการวารสารชื่อดังแมนเชสเตอร์ การ์เดียน 



นักเตะเด่นๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นดาราของสโมสรในยุคนั้นส่วนมากเป็นชาวเวลส์มาทำงานรถไฟในแมนเชสเตอร์ ครั้งหนึ่งนิวตันฮีทได้เคยสนับสนุนส่งนักเตะ 5 คนไปช่วยทีมชาติเวลส์ และเอาชนะสก็อตแลนด์ด้วย ที่เด่นๆ ก็มีสองพี่น้องโคตี้ เซ็นสัญญามาจากสโมสรดรูอิดแห่งรัวบอน แจ็คเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า ส่วนโรเจอร์เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ฝั่งซ้าย ในการแข่งขันที่โด่งดังนัดหนึ่งที่เวลส์ชนะไอร์แลนด์ 11-1 แจ็คทำประตูให้เวลส์ถึง 4 ลูก และโรเจอร์เหมาคนเดียวอีก 3 ลูก 



ในชุดสีเขียวและทอง นิวตันฮีท ประเดิมในฟุตบอลลีกได้แย่มาก ซ้ำยังมีแต่เรื่องเลวร้าย นัดแรกของพวกเขาในดิวิชั่น 1 จัดขึ้นที่อีวู้ด ปาร์ค สนามของแบล็คเบิร์น และชาวรถไฟก็ได้รับความพ่ายแพ้มา 3-4 และอีก 5 นัดต่อมาพวกเขาเก็บคะแนนได้เพียง 2 คะแนนเท่านั้น 



การฝึกซ้อมเพิ่มเติมเป็นพิเศษถูกสั่งให้ปฏิบัติทันที นักเตะต้องเริ่มต้นด้วยการวิ่งวิบาก และยังมีการแนะนำให้ออกกำลังกายด้วยท่าบริหารที่ไม่ปกติ ก็คือการขว้างค้อน(เป็นกีฬาประเภทหนึ่งของกรีฑา) ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่พิสูจน์แล้วว่ามีอันตรายร้ายแรง บิลลี่ สจ๊วร์ต นักเตะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เป็นนักเตะที่ได้รับการพรรณาถึงในเรื่องความแข็งแรง ได้โยนค้อนของเขาเองออกไปอย่างไม่ระมัดระวังและไปโดนเอาโดนัลด์สัน ศูนย์หน้าเข้าถึงกับสลบเหมือดไปเลยทีเดียว 



ชัยชนะในฟุตบอลลีกของสโมสรได้มาอย่างน่างง นิวตันฮีทซึ่งเป็นสโมสรหน้าใหม่ในดิวิชั่น 1 สามารถเอาชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ได้ถึง 11-1 เป็ยชัยชนะที่ยังคงเป็นสถิติของสโมสรมาจนถึงวันนี้ แต่ความดีใจของพวกเขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเมื่อจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 16 โดยมีคะแนนห่างจากแอคคริงตัน ซึ่งได้อันดับรองบ๊วยถึง 5 คะแนน และถูกลงโทษด้วยการถูกส่งไปฟาดแข้งทดสอบที่เรียกว่าเทสต์แมตช์ ซึ่งตอนนั้นเทสต์แมตช์เป็นระบบที่ตัดสินการเลื่อนชั้นหรือถูกลดชั้น 



ทีมที่จะต้องพบกับนิวตันฮีท ก็คือสมอลฮีท (เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นแชมป์ดิวิชั่น 2 นัดแรกพวกเขาเสมอกัน 1-1 จึงต้องแข่งใหม่และชาวรถไฟแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ก็หนีการตกชั้นได้สำเร็จเมื่อสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ 5-2 ในขณะเพื่อนร่วมดิวิชั่น แอคคริงตัน และน็อตต์ เคาน์ตี้ ต้องตกชั้นไป โดยมีดาร์เวน และเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นดิวิชั่น 1 แทน 



สโมสรฟุตบอลสมัยนั้นมีงบค่อนข้างน้อย หลายสโมสรดำรงอยู่ได้แบบวันต่อวัน หาเช้ากินค่ำ ฟุตบอลลีกเพิ่งเริ่มก่อตั้งได้ไม่นานทีมแอคคริงตัน ก็ลาออกในปี 1893-94 บูเทิลส์ไม่ได้รับเลือก และดิวิชั่น 2 ขยายรับทีมเพิ่มเป็น 15 ทีม มีทีมชื่อใหม่ๆ แปลกๆ เริ่มเข้ามาสู่ฟุตบอลลีกอย่างเช่น รอยัล อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล, มิดเดิ้ลสโบรซ์ ไอร์โอโนโปลิส (ไม่ใช่มิดเดิลสโบรซ์ในปัจจุบัน) และร็อตเตอร์แฮม ทาวน์ 



ฤดูกาลแข่งขันที่สองในฟุตบอลลีกของนิวตันฮีท สัมพันธภาพระหว่างสโมสรกับเจ้าของที่ดินนอร์ทโร้ด ซึ่งใช้เป็นสนามแข่งมอนซอล เริ่มถึงขั้นแตกหัก และสิถิติการแข่งขันของทีมก็ตกต่ำลงไปอีก ในจำนวน 30 นัดของฤดูกาล 1893-94 พวกเขาแพ้ถึง 22 นัด และยังปราชัยนัดทดสอบต่อทีมที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างลิเวอร์พูล 2-0 และต้องตกไปอยู่ดิวิชั่น 2 



นอกจากจะตกชั้นแล้วนิวตันฮีท ยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นประมาท ซึ่งสโมสรเป็นผู้เสียหายเสียเอง "ผมสังเกตเห็นว่าสัปดาห์หน้านิวตันฮีทต้องเจอกับเบิร์นลี่ย์ และหากทั้งสองทีมต่างก็เล่นในสไตล์ปกติธรรมดาของตัวเอง อาจจะทำให้การดำเนินธุรกิจของสัปเหร่อเฟื่องขึ้น" หนังสือพิมพ์เบอร์มิงแฮม เดลี่ กาเซทเขียนในเดือนตุลาคม 1893 นิวตันฮีทฟ้องหมิ่นประมาทและผู้พิพากษาตัดสินให้โจทย์เป็นฝ่ายชนะคดี แต่ค่าเสียหายที่ได้รับการชดใช้นั้นน้อยมากแทบไม่น่าเชื่อ ประมาณ 200 ปอนด์เท่านั้นเอง 



เห็นได้ชัดว่าทีมต้องการเปลี่ยนแนวความคิดบางอย่างและจัดระเบียบเสียใหม่ มอนซอลสนามที่ไม่เคยใช้ได้ไม่ดีเลย สนามหญ้าบางส่วนเป็นโคลนเฉอะแฉะ บางส่วนก็แข็งยังกับหินในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคมเรื่อยไปจนถึงสิ้นฤดูกาลในเดือนพฤษภาคม แล้วยังมักปกคลุมไปด้วยหมอกควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ห้องแต่งตัวนั้นก็อยู่ที่โรงแรมทรี คราวน์ส อินน์ ซึ่งอยู่ห่างจากสนามไปทางถนนโอลด์แฮมถึง 500 หลา 



ดังนั้นก่อนจบฤดูกาลแข่งขันในปี 1894 นิวตันฮีท ก็ได้ย้ายสนามไปเล่นที่แบงค์สตรีท, เคลย์ตัน ซึ่งนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งบรรยายว่า "เป็นสถานที่ที่ทะมึนไม่สดชื่นและเหม็นหึ่ง" เพราะอยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมเคมี แต่ถึงกระนั้นสโมสรก็ยังสามารถตั้งสำนักงานใหญ่ได้อย่างมั่นคง แม้ว่าจะย้ายมาไกลจากถนนโอลด์แฮมมากกว่า 1 ไมล์ แต่ระยะทางที่ไกลกว่าเดิมก็ทำให้แฟนบอลลดลงอย่างน่าใจหาย เนื่องจากแฟนบอลส่วนมากต้องการเดินไปชมเกมการแข่งขันประกอบกับสถิติอันย่ำแย่ของสโมสร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สโมสรถูกตัดไม่ให้ใช้แก๊ส และการเลือกนักเตะลงสนามต้องทำกันกลางแสงเทียน 



หัวหน้ากลุมแฟนบอลผู้สนับสนุนสโมสรเดอะฮีท ชื่อยอร์จ ลอว์ตัน เป็นสมุห์บัญชีของบริษัทเบียร์วอล์คเกอร์ และฮัมฟรี่ส์ ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร ยอร์จจะขี่จักรยานไปดูนิวตันฮีท แข่งเสมอ หากเขามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ เขาก็อาจอ้างได้ว่าเขาคือคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกผู้ริเริ่มก่อตั้งเรด อาร์มี่ กลุ่มแฟนบอลผู้ภักดีและทุ่มเทชีวิตจิตใจในการสนับสนุนสโมสรในยุคนั้น ยอร์จและกัปตันทีมคนแรกของสโมสรแฮร์รี่ สแตฟฟอร์ด จากครูว์ ต่างก็เป็นห่วงอนาคตของสโมสรอย่างมาก 



บ่ายวันเสาร์วันหนึ่งยอร์จ กำลังปั่นจักรยานอย่างรีบร้อนมาตามถนนโอลด์แฮมเพื่อจะรีบไปดูทีมโปรดแข่งขัน จักรยานของเขาชนเข้ากับรถม้า ยอร์จลุกขึ้นมาด้วยความโมโห แต่เขาก็ต้องรีบปิดปากตัวเองเมื่อเห็นว่าคนขับรถม้านั้นเป็นเจ้านายของเขาเอง เขาคือผู้อำนวยการบริษัทเบียร์ชื่อจอห์น เอช. เดวีส์ 



เดวี่ส์ ถามขึ้นก่อนอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "คุณจะไปไหนหรือพ่อหนุ่มลอว์ตัน ถึงได้รีบร้อนอย่างนี้?" ลอว์ตัน รีบขอโทษเจ้านายของเขาและอธิบายถึงเหตุผล เดวี่ส์ไม่เคยชมการแข่งขันฟุตบอล และประหลาดใจมากที่ได้เห็นลอว์ตัน กระตือรือร้นขนาดนั้น 



ยอร์จ ไปถึงแบงค์สตรีท และเขาก็ได้พบกับพนักงานเก็บเงินรอคอยอยู่ที่ประตูทางเข้าทั้ง 3 ทาง ขณะที่ทั่วเมืองแมนเชสเตอร์ เริ่มจุดตะเกียงแก๊สเพื่อส่องสว่างเมืองอันมืดครึ้มในตอนเย็นวันนั้น สมุห์บัญชีลอว์ตัน กับกัปตันสแตฟฟอร์ด ก็มองเห็นอนาคตอันอับเฉาของสโมสรในเวลานั้น พวกเขาอาจจะต้องลาออกจากลีกเหมือนอย่างมิดเดิ้ลสโบรซ์ ไอร์โอโนโปลิส และนอร์ทวิช วิคตอเรีย หรือบางทีอาจจะต้องพบกับการล้มละลายเหมือนอย่างมิดเดิ้ลสโบรซ์ ไอร์โอโนโปลิส ก็เป็นได้ ในตอนนั้นไม่เพียงแต่นิวตันฮีท ที่อยู่ในช่วงวิกฤต แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, เวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน และ น็อตต์ เคาน์ตี้ ต่างก็เป็นหนี้อยู่มากกว่า 1,000 ปอนด์ และทุกสโมสรในดิวิชั่น 1 ต่างก็มีหนี้สินกันทั้งนั้น มีข้อยกเว้นเพียง 3 สโมสรเท่านั้นเอง 



อาร์ดวิค (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปัจจุบัน) ตอนนั้นเล่นในชุดสีฟ้าอ่อนและขาวเหมือนปัจจุบัน กลับประสบกับปัญหาอีกด้านหนึ่ง "พวกเขาต้องขื่นขมจากการที่คนชาวอเมริกันผู้มาเยือนสโมสรได้ชักชวนนักเตะหลายคนไปเยือนสหรัฐอเมริกา และเสนอสัญญาที่ยังไม่เป็นความจริงให้พวกเขา" หนังสือนิวตันฮีท เอฟซี บาซาร์ จูเนียร์ บันทึกเอาไว้ 



เรื่องราวระหว่างระยะเวลา 6 ปี ต่อมาที่นิวตันฮีท อยู่ในช่วงย่ำแย่ มีเรื่องให้กล่าวถึงมากมาย จนมีหลายคนบอกว่าสามารถนำเอาไปเขียนเป็นนวนิยายได้เป็นอย่างดีสำหรับชาร์ลส์ ดิคเก้นส์ หรืออาร์โนลด์ เบนเนตต์นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ 


นิวตันฮีท ต้องถือเป็นหนี้บุญคุณสำหรับผู้ที่ทำทุกอย่างเพื่อพยุงและกอบผม้ฐานะของสโมสรเอาไว้ บุคคลเหล่านี้คือ มิสเตอร์ ดับเบิ้ลยู เอช อัลบัท รวมทั้งลอว์ตัน และสแตฟฟอร์ด ด้วย 



ความเข้าใจกันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุดในตอนนั้น เพราะว่านักเตะจะไม่รู้ล่วงหน้าหรอกว่าพวกเขาจะได้รับค่าจ้างสักเท่าไหร่ คณะกรรมการของสโมสรจะนับเงินที่ได้จากการแข่งขันในบ้านหลังจากจบการแข่งขัน แล้วหักค่าใช้จ่ายและทุนในการดำเนินงาน ที่เหลือจึงเป็นค่าจ้างของนักเตะ 



อังกฤษในสมัยสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียนั้น (1837-1901) ชนชั้นกรรมกรเป็นพวกชาวบ้านธรรมดาที่คนรุ่นปู่ของพวกเขาละทิ้งท้องทุ่งมาหางานในเมืองทำ จึงมีอยู่หนหนึ่งที่อัลบัท ใช้วิธีการโฆษณาการแข่งขันว่าจะมีการแสดงของ "นกขมิ้นแห่งแบงค์สตรีท" เพื่อล่อใจชนชั้นกรรมกรที่ความรู้น้อย มีผู้หลงเชื่อคำโฆษณาเข้าชมการแข่งขันในนัดเหย้านัดนั้นของทีมเพิ่มมากขึ้นถึง 100 คน เพื่อจะมาชม "นกขมิ้น" ซึ่งปรากฏว่ากลายเป็นห่านที่ขุนจนอ้วนเพื่อเป็นอาหารเย็นในวันคริสต์มาสของอัลบัท 



มีนักเตะคนหนึ่งที่มีความประพฤติแย่มากนอกสนาม แต่ก็เป็นดาราในสนามแข่ง เขาชื่อบิลลี่ เป็นคนที่รักที่จะเดินตามแฟนฟุตบอลเข้าไปในร้านเหล้าที่เรียกว่าผับใกล้ๆ กับสนาม และจะดื่มเบียร์ทุกแก้วที่มีคนซื้อให้เขาจนกว่าจะเมาคอพับอยู่ตรงนั้น 



ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่อัลบัท สามารถช่วยเหลือสโมสรได้ อาจจะทำให้หลายๆ คน ไม่เข้าใจ นิวตันฮีท ถูกฟ้องเรียกให้ชำระหนี้ เมื่ออัลบัท ได้อ่านหนังสือพิมพ์ และทราบว่าดารานักเตะของสโมสรอื่นบ่นเกี่ยวกับค่าจ้างที่เขาไม่ได้รับ อัลบัทก็จัดการให้นักเตะคนนั้นได้ถ่ายรูปในท่ายื่นหมายเรียกให้ชำระหนี้ของนิวตันฮีทต่อสโมสรของเขาเอง เป็นทำนวงทวงหนี้ สโมสรคู่แข่งจึงต้องปล่อยดารานักเตะคนนั้นมาด้วยความโกรธสื่อมวลชน อัลบัทก็เซ็นสัญญากับนักเตะทันทีท่ามกลางสายตาสื่อมวลชนที่มากกว่าเดิมอีก และนั่นทำให้สัปดาห์ต่อมาสโมสรที่แบงค์สตรีทเก็บเงินค่าดูได้เพิ่มประมาณ 10 ปอนด์ 



ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นิวตันฮีท สามารถดำรงอยู่ได้ในสถานการณ์อันย่ำแย่ ก็คือการปรับปรุงฟอร์มการเล่น ในฤดูกาล 1894-5 ที่พวกเขาหล่นลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 เป็นครั้งแรกนั้น นิวตันฮีท เสมอน็อตต์ เคาน์ตี้ ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ได้อันดับที่ 3 ในดิวิชั่น 2 และได้เข้าไปพบกับสโต๊ค ซิตี้ ทีมในอันดับ 14 ของดิวิชั่น 1 เพื่อแย่งชิงตำแหน่งในการเลื่อนชั้น แต่นิวตันฮีท ก็ยังไร้วาสนาเมื่อพ่ายแพ้ไป 3 - 0 



สองฤดูกาลต่อมาพวกเขาได้เข้าแข่งทดสอบเพื่อเลื่อนชั้นอีกครั้ง แต่ได้อันดับบ๊วยในจำนวน 4 ทีมที่ต้องแข่งขันนัดทดสอบ จึงต้องเล่นในดิวิชั่น 2 ต่อไปอีก ความล้มเหลวที่จะได้เลื่อนชั้นหมายถึงการสนับสนุนจุนเจือก็แย่ลงไปด้วย จุดวิกฤติมาถึงเมื่อปี 1902 บรรดานักเตะต้องจำนำชุดที่ดีที่สุดของพวกเขาเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายแทนค่าจ้างที่ไม่ได้รับ และพวกเขาก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องน่าตลกอีกต่อไป สโมสรเป็นหนี้อยู่ถึง 2,670 ปอนด์ และเจ้าหนี้ก็ต้องดำเนินการฟ้องล้มละลาย ชื่อนิวตันฮีท คงจะถึงคราวสิ้นสุดลง... 



มาถึงตอนนี้ ราวกับปาฏิหารย์เมื่อมีผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสโมสรให้พ้นวิกฤติ เขาก็คือจอห์น เดวี่ส์ ผู้อำนวยการบริษัทเบียร์นั่นเอง แต่การที่เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับสโมสรได้อย่างไรนั้นยังไม่ได้รับการเปิดเผย มีเรื่องเล่ากันว่าสมุห์บัญชีของเขายอร์จ ลอว์ตัน และกัปตันสแตฟฟอร์ด ได้ปั่นจักรยานไปที่บ้านของเดวี่ส์ และอ้อนวอนขอความเห็นใจจากความเป็นนักกีฬาของเขา เดวี่ส์ได้มาที่แบงค์สตรีท และได้เห็นสภาพแวดล้อมที่หมดหวังของสโมสรจึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือ 



บ้างก็เล่าว่าสุนัขของสแตฟฟอร์ด หลงเข้าไปในบ้านของเดวี่ส์ เขาจึงนำสุนัขไปคืนเจ้าของและได้พูดคุยกันเรื่องฟุตบอลกับสแตฟฟอร์ด จึงเกิดความสนใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ ก็คือการประชุมฉุกเฉินของบรรดาผู้ถือหุ้นของสโมสรในไอส์ลิงตัน ฮอลล์ ในปี 1902 สแตฟฟอร์ด ก็ได้ก่อเรื่องน่าตื่นเต้นขึ้นเมื่อเขาเสนอเงินซื้อหุ้น 500 ปอนด์ และเขาพูดว่ารู้จักคนอื่นๆ ที่พร้อมจะจ่ายเงินให้สโมสรด้วย 



ที่จริงนั่นเป็นการประมูลที่สแตฟฟอร์ด ทำแทนเดวี่ส์ เมื่ออะไรกระจ่างจอห์น เฮนรี่ เดวี่ส์ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นประธานสโมสรและประธานกรรมการด้วย ส่วน สแตฟฟอร์ด ก็มีชื่อเป็นคนจัดการเรื่องราวของทีม 



คณะผู้บริหารชุดใหม่ยืนยันที่จะเปลี่ยนชื่อสโมสรด้วย จะเป็นเดวี่ส์ หรือสแตฟฟอร์ด หรือลอว์ตัน กันแน่เป็นคนต้นคิดเรื่องชื่อใหม่? บางทีอาจเป็นเดวี่ส์ เพราะว่าเขาเป็นคนที่เข้าได้กับทุกคน และเห็นอะไรๆ มากไปกว่าแค่เคลย์ตัน ย่านถนนโอล์ดแฮม 



สโมสรอาร์ดวิค เปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ (1894) ก็แล้วทำไมนิวตันฮีท จะเปลี่ยนชื่อไปเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้ ก่อนหน้านั้นชุดของทีมได้เปลี่ยนจากสีเขียวและทองไปเป็นเสื้อขาวและกางเกงสีน้ำเงินแล้วตั้งแต่ปี 1986 ได้มีการตัดสินใจว่าสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใหม่นี้ควรจะมีชุดใหม่ด้วย พวกเขาจะลงเล่นในเสื้อแดง และกางเกงขาสั้นสีขาว 



แบงค์สตรีทเจริญขึ้นในทันทีทันใด หนี้ที่มีอยู่ถูกชำระหมดสิ้น นักเตะได้รับค่าจ้าง สนามได้รับการปรับปรุง ถึงกับมีการสร้างหลังคาเล็กๆ คลุมอัฒจันทร์ สำหรับเจ้าหน้าที่และแขก และเออร์เนสต์ แมงนอลล์ ผู้มีมันสมองอันปราดเปรื่องในเรื่องฟุตบอลก็ได้มาเป็นทั้งผู้จัดการทีมและเลขานุการสโมสร 



แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อันดับที่ 3 ในดิวิชั่น 2 เมื่อจบฤดูกาลในปี 1904 และ 1905 และปีต่อมาก็เป็นปีที่ยิ่งใหญ่ปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร ระบบแข่งทดสอบได้เลิกใช้ไปแล้วตั้งแต่ปี 1899 และฟุตบอลลีกก็ได้เริ่มยุคใหม่ที่น่าจดจำด้วยการขยายให้แต่ละดิวิชั่นมี 20 ทีมในปี 1905 นั่นเอง (ตอนนั้นยังมีแค่ 2 ดิวิชั่น) 



แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถล่มประตูได้ถึง 90 ประตู ในการแข่งขัน 38 นัด ในดิวิชั่น 2 ฤดูกาลนั้น แต่ก็ยังจบในอันดับที่ 2 มีคะแนนห่างจากแชมป์ดิวิชั่น 2 อย่างบริสตอล ซิตี้ 4 คะแนน และทั้งสองทีมก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 



สถานการณ์ของทีมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สมาคมฟุตบอลได้ส่งคำเตือนมายังเดวี่ส์ เพราะเกิดความสงสัยว่าได้มีการจ่ายเงินเหรียญปอนด์ทองคำโดยผิดกฏหมายในชัยชนะที่ยอดเยี่ยมนัดหนึ่งของทีม แต่รายได้ใหม่ของสโมสรถูกใช้จ่ายไปในการปรับปรุงทีมเสียเป็นส่วนมาก แมงนอลล์ เป็นคนมองเห็นแววของนักเตะได้ดี ดาวยิงชาวสกอตต์ ชื่อจิมมี่ เทิร์นบูล ถูกค้นพบที่เลย์ตัน และเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ผิวซีดชาร์ลี โรเบิร์ตส์ หรือที่แฟนบอลชอบเรียกว่า "ไอ้ผี" มาจากกริมสบี้ ทาวน์ ด้วยค่าตัว 400 ปอนด์ ในปี 1904 



เมื่อมี ดิค ดัคเวิร์ธ และอเล็กซ์ เบลล์ เล่นเคียงข้างกับโรเบิร์ตส์ แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอนนี้ได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็นทีมที่มีกองหลังที่ดีที่สุดในเกาะอังกฤษ นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นในการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 และเป็นจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่แชมป์ฟุตบอลลีกในอีกสองปีต่อมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าขันที่เริ่มมาจากความโชคร้ายของคู่แข่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งพวกเขายังถูกสมาคมฟุตบอลสอบสวนกรณีจ่ายเงินให้นักฟุตบอลโดยผิดกฏหมาย และถูกลงโทษหนักด้วย นักเตะที่ถูกจับได้ว่ามีความผิดจะถูกสั่งพักและขึ้นบัญชีขายทันที 



แมงนอลล์ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในเรื่องนี้ โดยการเจรจาเซ็นสัญญากับนักเตะที่ดีที่สุดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4 คนคือแซนดี้ เทิร์นบูล, เฮอร์เบิร์ต เบอร์เกส, จิม แบนนิสเตอร์ และอีกคนบิลลี่ เมอเรดิธ หลังจากได้มีการพบปะกันในควีนส์ โฮเทล ที่ปิคคาดิลลี่ จะเรียกได้ว่าเป็นความหน้าด้านและเหมือนกับการโจรกรรมก็ได้ แต่นั่นก็ได้ช่วยให้ชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นทีมฟุตบอล และเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน 



                                              


ชาร์ลี โรเบิร์ตส์ วิ่งนำทัพแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงสนาม ในเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1909 


"ยุครุ่งเรืองยุคแรก" ... 

A great team dies "อะ เกรท ทีม ดายส์ ... ยอดทีมตายแล้ว ซากเครื่องบิน อลิซาเบธัน ตกแหลกกระจายที่สนามบินเมืองมิวนิค อันเป็นผลทำให้ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชุด 1950 ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง" นี่เป็นส่วนหนึ่งของข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่ทำเอาเหล่าบรรดา "เรด อาร์มี่" ในยุคนั้นแทบใจสลายเมื่อรู้ข่าวว่าเหล่าสตาร์ขุนพลนักเตะอันเป็นที่รักและชื่นชอบของตนต้องมาจบชีวิตลงในช่วงที่กำลังเรียกได้ว่าโด่งดังสุดขีด จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่เมือง มิวนิค ประเทศเยอรมนี 

                                   

ภาพถ่ายการยืนตั้งแถวครั้งสุดท้ายที่ เบลเกรด ในปี 1958 เอ็ดเวิร์ดส์, โคลแมน, โจนส์, มอร์แกน, ชาร์ลตัน, ไวโอเลต, เทย์เลอร์, โฟกส์, เกร็ก, สแกนลอน และ เบิร์น 


6 ก.พ. 1958 เป็นวันอันแสนมืดมนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และเป็นการทำลายทีมปีศาจแดง ชุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ วีรบุรุษปีศาจแดงที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นคือ วอลเตอร์ คริกเมอร์, ทอม เคอร์รี่, เบิร์ท วอลลี่ย์, ทอมมี่ เทย์เลอร์, เดวิด เพ็กก์, เจฟฟ์ เบนท์, เอ็ดดี้ โคลแมน, โรเจอร์ เบิร์น, มาร์ค โจนส์, เลียม วีแลน คนที่เสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังเข้ารับการรักษาที่โรงพยายาบาลคือ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์, ทอม แจ๊คสัน และ แฟร้งค์ สวิฟต์ รวมไปถึงนักบินและนักข่าวอีก 8 ชีวิต นอกจากนั้นยังมีแฟนบอลที่ตามไปเชียร์อีกจำนวนหนึ่ง 



นั่นคือเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความโศกสลดในวงการฟุตบอลอังกฤษ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังสร้างทีมได้อย่างมั่นคงและเริ่มต้นไขว่คว้าหาความสำเร็จในเวลานั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดินทางไปแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรปกับ เรด สตาร์ เบลเกรด ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนไป เบลเกรด ขุนพลปีศาจแดง ต้องฟาดแข้งดิวิชั่น 1 กับ อาร์เซนอล ที่สนามไฮบิวรี่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มีผู้ชมประมาณ 63,000 คนที่เข้าไปแออัดยัดเยียด ในสนามเพื่อชมการดวลแข้งนัดนี้ 



ขุนพลปีศาจแดงไม่ทำให้เหล่าพลพรรค เรด อาร์มี่ ต้องผิดหวังเมื่อ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำไปก่อน 1-0 และตามมาด้วย ประตูของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ เอ็ดดี้ โคลแมน ในครึ่งหลัง แต่ด้วยความที่ประมาททำให้ "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล ไล่ยิงจนตีเสมอได้เป็น 3-3 ขุนพลปีศาจแดงไม่ยอมแน่ที่นำไปก่อนถึง 3 ประตู แต่สุดท้ายกลับมาได้ 1 คะแนนกลับไป พวกเขาโหมบุกอย่างหนักอีกครั้งและมายิงเพิ่มได้อีก 2 ประตู จากความขยันของ อัลเบิร์ต สแกนลอน แต่ขุนพลปืนใหญ่ก็มายิงได้อีก 1 ประตู จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถบุกมายัดเยียดความปราชัยให้กับไอ้ปืนใหญ่ไป 5-4 มันเป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เรด อาร์มี่ ควรจะภาคภูมิใจและจดจำไว้ ... ว่ามันเป็นการฟาดแข้งฟุตบอลลีกนัดสุดท้ายของ "เดอะ บัสบี้ เบบส์" 



หลังเกมนั้นเครื่องบินเช่าสองเครื่องยนต์แบบอลิซาเบธัน ของสายการบิน บริติช ยูโรเปี้ยน แอร์ไลน์ ชื่อ "ลอร์ด เบอร์เลก" นำขุนพลนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บินลัดฟ้าสู่ เบลเกรด การเล่นด้วยฟอร์มสุดยอดในถิ่นไฮบิวรี่ของ อาร์เซนอล ทำให้ แมตต์ บัสบี้ ตัดสินใจใช้ทีมชุดเดียวกันนั้น เดินทางไปเพื่อลงสนามดวลแข้งกับ เรด สตาร์ เบลเกรด นัดที่สองฟุตบอล ยูโรเปี้ยน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ 



เริ่มแข่งไปได้ 2 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตูขึ้นนำไปก่อน และก่อนหมดครึ่งแรก บ็อบบี้ ชาร์ลตัน มาซัลโวอีก 2 ประตูปิดท้าย ดูเหมือนปีศาจแดงจะผ่านรอบนี้ไปได้สบาย แต่เกมเริ่มเดือดในช่วงครึ่งหลังเมื่อ เรด สตาร์ ยิงไล่มาเป็น 2-3 และเป็น 3-3 จากลูกจุดโทษ การแข่งขันครั้งนั้นจบลงด้วยการเสมอ 3-3 แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเพื่อพบกับ เอซี มิลาน ด้วยประตูรวมสองนัด 5-4 ทำให้พวกเขาไม่หนักใจมากนัก และมีความสุข เตรียมกลับบ้านเพื่อเตรียมลงสนามสู้ศึกในลีกดิวิชั่น 1 ที่ยังเหลืออยู่ต่อไป 



เครื่องบิน อลิซาเบธัน เหินฟ้าออกจาก เบรดเกรด ในเช้ามืดที่แสนเยือกเย็นคราคร่ำไปด้วยเม็ดหิมะที่กำลังตกอยู่ประปรายของวันที่ 6 ก.พ. 1958 และลงจอดที่สนามบินที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะในกรุงมิวนิคเพื่อเติมเชื้อเพลิง เวลา 14.30 น. การนำเครื่องออกจากรันเวย์ไม่ประสบผลสำเร็จ หลังวิ่งไปได้ครึ่งรันเวย์แล้ว กัปตันพยายามอีกครั้งเป็นหนที่สองแต่ก็ต้องยกเลิกไปอีกครั้งเพราะไม่แน่ใจกับแรงดันที่เพิ่มมากเกินไป ในเครื่องยนต์เครื่องหนึ่ง พวกเขาพยายามเป็นครั้งที่สามหลังหยุดพักมาจนถึงเวลา 15.00 น. ขณะที่เครื่องบินกำลังเร่งความเร็วเต็มที่ วิ่งไปตามทางมองออกไปนอกกระจกแทบมองไม่เห็นอะไรเพราะหิมะที่ถูกพัดกระจายมาปิดบังเอาไว้หมด แต่ทันใดนั้นความเร็วของเครื่องก็ลดลง แทนที่จะเชิดหัวขึ้นฟ้า แต่กลับวิ่งต่อไปข้างหน้า ชนแนวเขตรั้ว ไถลไปอีก 250 หลาชนเข้ากับบ้านของผู้คนแถวนั้นจนปีกและหางของเครื่องกระเด็น ไปคนละทิศ 



มีนักเตะส่วนหนึ่งที่เสียชีวิตในทันทีสำหรับเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่สำหรับคนที่รอดมาได้ก็มาเสียชีวิตเพิ่มอีกในเวลาต่อมา สำหรับนักข่าวที่เสียชีวิต ชื่อของพวกเขาเหล่านี้ถูกจารึกไว้บนแผ่นป้ายโลหะในชั้นที่นั่งของนักข่าวในสนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด ขณะที่ แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมที่รอดมาได้ จากอุบัติเหตุเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าทำไมไม่ให้เขาตายไปพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วย ทำไมต้องเป็นเขา... 



สำหรับผู้ที่รอดชีวิตมาได้อย่าง แฮร์รี่ เกร็ก, บิล โฟล์กส์, ไวโอเลต และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม แฮร์รี่ เกร็ก กล่าวว่า ไม่มีเสียงร่ำไห้ ไม่มีเสียงคร่ำครวญ สภาพวันนั้นมีแต่ความมืดและกลิ่นน้ำมันเครื่องบิน หลังจากรอดพ้นความตายอย่างหวุดหวิด เขารู้สึกละอายใจที่เขารอดในขณะเพื่อนร่วมทีมเสียชีวิต การสูญเสียครั้งนี้ยิ่งใหญ่และสะเทือน ไปถึงวงการลูกหนังของโลก ไม่ใช่แต่เพียง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงเท่านั้น ทีมชาติอังกฤษของ วอลเตอร์ วินเทอร์บอททอม ก็ต้องขาดหัวใจหลักสำคัญของทีมไปเมื่อขาด โรเจอร์ เบิร์น, ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ และ ทอมมี่ เทย์เลอร์ แทบไม่เหลือกำลังใจไว้สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1958 ที่ประเทศสวีเดน 



ทีมชาติอังกฤษอาจจะกระทบกระเทือนแต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาไม่เหลืออะไรและเริ่มสร้างทีมขึ้นมาใหม่จากการช่วยเหลือของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) รวมไปถึงสมาคมฟุตบอลของเวลส์ที่เลือกเอา จิมมี่ เมอร์ฟี่ ผู้ช่วยของ แมตต์ บัสบี้ มาคุมทีมชาติเวลส์ แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไปหานักเตะมาจากไหน จะไปหยิบยืมใครมาได้ พวกเขาทำได้อย่างเดียวคือซื้อเท่านั้น แต่ก็ไม่มีนักเตะชั้นนำมากมาย ให้ทีมปีศาจแดงซื้อได้ในเวลานั้น แต่โชคดีที่สโมสรคู่อริอย่าง ลิเวอร์พูล และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ให้ยืมตัวนักเตะมาเล่นให้กับทีมได้ มีเพียง 2 สโมสรเท่านั้น 


เมื่อการแข่งขันรอบรองชนะเลิศฟุตบอล ยูโรเปี้ยน คัพ มาถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดสนามต้อนรับการมาเยือนของ เอซี มิลาน ทีมจากอิตาลี เป็นเวลาเดียวกับทีมชาติอังกฤษเตะกระชับมิตรกับ โปรตุเกส ทำให้ทีมปีศาจแดงไม่มี บ็อบบี้ ชาร์ลตัน แต่ขุนพลปีศาจแดง ในยุคใหม่ก็ไม่ทำให้เหล่าบรรดาแฟนบอลต้องผิดหวังเมื่อสามารถเอาชนะไปได้ 2-1 แต่สุดท้ายก็ต้องไปพ่ายให้กับ เอซี มิลาน 4-0 ในนัดที่สอง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังต้องพบกับความพ่ายแพ้อยู่อย่างสม่ำเสมอถึงแม้จะยอมทุ่มเงินสูงถึง 300,000 ปอนด์ กว้านซื้อนักเตะดาวดังเข้ามาเสริมหลายต่อหลายคนก็ตาม หลังจากนั้น บัสบี้ ได้คว้าตัว เดนิส ลอว์ และ จอร์จ เบสต์ เข้ามาเสริมทีม แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาเลยกับระบบการเล่น 2-3-5 


การรอคอยการประสบความสำเร็จของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาสิ้นสุดลงในปี 1963 เมื่อ แมตต์ บัสบี้ และ จิมมี่ เมอร์ฟี่ ผู้ช่วยของเขาพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 รวมไปถึงแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้เป็นผลสำเร็จ จากการรอคอยและบูรณะทีมครั้งใหญ่มานานกว่า 6 ปี ปีศาจแดงกลับมายิ่งใหญ่ อีกครั้ง แมตต์ บัสบี้ กล่าวไว้คำหนึ่งว่า "เราไม่ต้องกลัวความพ่ายแพ้อีกต่อไป" เขายืนหยัดลุกขึ้นมามุ่งมั่นจนพาทีมประสบความสำเร็จอย่างสุดยอด ทีมของเขาคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก นั่นคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ไม่ได้มาแบบโชคช่วย ภาพนาฬิกามิวนิคที่ติดตั้งอยู่บริเวณอัฒจรรย์หน้า โอลด์ แทรฟฟอร์ด แสดงถึงวันที่เครื่องบินตกและเวลาเพื่อย้ำเตือน แฟนปีศาจแดงรุ่นหลังให้ใส่ใจกับประวัติศาสตร์อันน่าสะเทือนใจของสโมสรที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายสามโมงของ วันที่ 6 ก.พ. 1958... 




เพลง The Flowers of Manchester เป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับขุนพลนักเตะปีศาจแดงที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เครื่องบินตก 





ขอบคุณข้อมูลจาก www.manuclub.com นะคับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น